จากการติดตามข่าวการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในภาวะวิกฤติหมดทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการติดเชื้อรายใหม่ วันละประมาณ 1.5 หมื่นคน เสียชีวิตเกือบวันละร้อยหรือมากกว่า แม้ตัวเลขผู้หายป่วยวันละหลายพันคนจะทำให้น่าดีใจ แต่ก็ยังน้อยกว่าผู้ติดเชื้อใหม่วันละหลายพัน
จนก่อให้เกิดวิกฤติด้านโรงพยาบาลรุนแรง ไม่มีเตียงรับผู้ป่วยใหม่ๆ เพราะว่าแต่ละโรงพยาบาลใน กทม.และจังหวัดปริมณฑล ต่างรับผู้ป่วยไว้ล้นโรงพยาบาล ทั้งโรงพยาบาลปกติและโรงพยาบาลสนาม บางแห่งมีผู้ป่วยล้นทะลักไปจนถึงโรงรถ ซ้ำเติมด้วยวิกฤติแม้แต่บุคลากรด้านการแพทย์ นอกจากขาดแคลนแล้วยังโดนโควิดเล่นงานด้วย
บุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลใหญ่บางแห่ง กลายเป็นผู้ป่วย ติดเชื้อเองกว่า 300 คน และจะต้องมีผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ต้องกักตัว ไม่รู้อีกเท่าไหร่ บุคลากรทางการแพทย์บางส่วนโอดครวญว่า ยังสู้อยู่ด้วยแรงที่อ่อนล้า และมีรายงานข่าวว่าอาจถึงจุดที่เจ้าหน้าที่ต้องเลือกจะให้ใครอยู่ให้ใครไป
ส่วนการจัดหาและการฉีดวัคซีน ซึ่งทุกฝ่ายเชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะยับยั้งการแพร่ระบาด ก็ยังมีปัญหาอยู่ ยังไม่แน่ชัดว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้ประชาชนให้ได้ 100 ล้านโดส หรือ 70% ของประชากร เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และเปิดประเทศให้ทันภายใน 120 วัน ตามคำประกาศของนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่
จังหวัดสีแดงเข้มที่ต้องควบคุมเข้มงวดที่สุด ไม่ได้มีแต่ กทม.และปริมณฑล กับชายแดนภาคใต้ 4 จังหวัด รวมเป็น 10 จังหวัดแล้วลุกลามไปอีก 3 จังหวัด และกำลังขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นการแพร่ระบาดทั่วประเทศ ส่วนหนึ่งเป็นการระบาดตามธรรมชาติ อีกส่วนหนึ่งเป็นนโยบายรัฐบาล
นั่นก็คือการส่งผู้ป่วยจาก กทม.กลับไปรักษาตัวที่จังหวัดภูมิลำเนา เพื่อลดความแออัด ปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลใน กทม.และปริมณฑล วงการแพทย์เชื่อว่าการแพร่ระบาดใน กทม. น่าจะถึงจุดสูงสุด ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จากนั้นจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตน่าจะค่อยๆลดลงแต่ต้องพึ่งความสามารถของรัฐบาล
ที่สำคัญอย่างยิ่ง คือการจัดหาวัคซีนคุณภาพ และเร่งกระจายฉีดให้ประชาชนอย่างรวดเร็ว ให้ได้ตามเป้าหมาย รัฐบาลต้องยอมรับความจริง ยอมรับความ ผิดพลาดในอดีต และนำมาเป็นบทเรียน เพื่อแก้ไขวิกฤติให้จงได้ การจัดหาและฉีดวัคซีนเป็นจุดพลาดสำคัญที่สุด ที่ทำให้โควิดกลายเป็นมหาวิกฤติใหญ่โต.