เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2565 ที่โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพมหานคร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) และภาคีเครือข่าย จัดเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และพัฒนารูปแบบแนวทางการทำงานของหน่วยบริการปฐมภูมิเขตเมือง เพื่อถอดบทเรียนการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนกับระบบบริการสุขภาพเขตเมืองในการจัดการสุขภาพตนเองของชุมชน
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการพัฒนาระบบสุขภาพ สสส.กล่าวว่า ปัจจัยความสำเร็จที่ทำให้ไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ดี คือ การมีบุคลากรทางการแพทย์ และระบบสาธารณสุขมูลฐานที่เข้มแข็ง รวมถึงระบบกลไกสาธารณสุขในระดับชุมชน เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่เข้มแข็ง ปฏิบัติใกล้ชิดกับประชาชนในพื้นที่ชุมชนอย่างต่อเนื่อง จนทำให้สามารถรักษา ดูแลตนเองในขั้นเบื้องต้นได้ภายในชุมชน
นพ.พงศ์เทพกล่าวว่า สสส. สนับสนุนการทำงานเสริมสร้างองค์ความรู้การพัฒนาระบบสุขภาพในระดับชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง การเปิดเวทีแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ สืบเนื่องมาจาก โครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อสร้างเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายภาคประชาชนในการสนับสนุนระบบสุขภาพปฐมภูมิ กรณีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากการดำเนินงานพบว่า ในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 มีจำนวนผู้ติดเชื้อ ลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดจากความร่วมมือของคนไทย และทุกภาคส่วน อาทิ อสม. ผู้นำชุมชน กลุ่มชมรม อาสาสมัคร และประชาชน ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการลงพื้นที่ค้นหากลุ่มเสี่ยงเข้าสู่กระบวนการคัดกรอง รวมถึงให้ความรู้เรื่องสาธารณสุขต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญเช่นเดียวกับแพทย์ และพยาบาล
ผศ.รณรงค์ จันใด ภาควิชานโยบายสังคม การพัฒนาสังคม และการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มธ. กล่าวว่า ในวิกฤตโควิด-19 โครงการฯ ได้เข้าไปพัฒนาและแก้ไขปัญหาในชุมชนเขตเมือง สานพลังและสร้างการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ โดยการพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชน บุคลากรสาธารณสุข ทีมสหวิชาชีพ ให้มีความรู้ความสามารถ เกิดแกนนำสุขภาพชุมชน ที่มีความรู้ความเข้าใจ และมีศักยภาพเพียงพอในการป้องกันโควิด-19 พัฒนาระบบบริการ ระบบการช่วยเหลือสำหรับชุมชนเขตเมือง ร่วมกับองค์กรภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง เชื่อมโยงกับระดับนโยบายในพื้นที่ ได้แก่ คณะกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน (กขป.) คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.) จนนำไปสู่ต้นแบบการดูแลช่วยเหลือชุมชนพื้นที่เขตเมืองในวิกฤตโรคอุบัติใหม่ ครอบคลุม 3 จังหวัด 20 หน่วยบริการสุขภาพ 39 ชุมชน เกิดการขยายผล เพื่อนำไปใช้ในวิกฤตอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก
Line @Matichon ได้ที่นี่