เช้านี้ภาคเหนืออากาศยังวิกฤติ 5 จุดยังติดโซนแดงอันตราย ขณะอีก 16 จุดค่าฝุ่นเข้าโซนส้มเริ่มกระทบสุขภาพ เช้านี้เชียงราย สาหัส ตามด้วยแม่ฮ่องสอน พบจุดความร้อนในกัมพูชา เมียนมา ลาว ทำให้เกิดการสะสมตัวของฝุ่นควันอย่างหนาแน่น แนะรัฐต้องแก้ปัญหาโดยใช้โมเดลเดียวกับการแก้ปัญหาฝุ่น
กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ รายงานสถานการณ์คุณภาพอากาศ พื้นที่ภาคเหนือ วันที่ 12 มี.ค.64 เวลา 09.00 น. พบว่าคุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลางถึงมีผลกระทบต่อสุขภาพ ตรวจพบค่าฝุ่น 2.5 อยู่ระหว่าง 42 – 193 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (µg/m3) โดยเกินเกณฑ์มาตรฐาน 21 พื้นที่ แบ่งเป็นอยู่ในระดับเป็นอันตรายต่อสุขภาพ (โซนสีแดง) 5 พื้นที่ สูงสุดได้แก่ ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย 193 ไมโครกรัมฯ, ต.จองคำ อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน 142 ไมโครกรัมฯ, ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 103 ไมโครกรัมฯ, ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่, 101 ไมโครกรัมฯ และรพ.เทพรัตนฯ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ 105 ไมโครกรัมฯ
ขณะที่อีก 16 พื้นที่อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ (โซนสีส้ม) ได้แก่ ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง, ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง, ต.แม่เมาะ อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง, ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย, ต.ในเวียง อ.เมือง จ.น่าน, ต.บ้านกลาง อ.เมือง จ.ลำพูน, ต.นาจักร อ.เมือง จ.แพร่, ต.บ้านต๋อม อ.เมือง จ.พะเยา, ต.ห้วยโก๋น อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน, ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก, ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก, ต.ในเมือง อ.เมือง จ.กำแพงเพชร, ต.ท่าหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร, ต.ธานี อ.เมือง จ.สุโขทัย, ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์, ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
www.IQAIR.COM ซึ่งรายงานคุณภาพอากาศและจัดอันดับเมืองมลพิษโลก โดยรายงานแบบเรียลไทม์วันที่ 14 มี.ค.64 เวลา 09.30 น. พบว่า เมืองเชียงใหม่อยู่ในลำดับ 5 ของโลก ดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 175US AQI
ศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ CCDC: Climate Change Data Center โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุ เมื่อเวลา 17.18 น. วันที่ 13 มี.ค.64 ASMC (ASEAN Specialised Meteorological Centre) อัพเดทข้อมูลจุดความร้อนที่มีปริมาณมากในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และไทย ทำให้เกิดการสะสมตัวของกลุ่มฝุ่นควันหนาแน่นในภาคเหนือของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง และมีทิศทางลมที่สอบรับกับลมที่มาจากทั้งสองทิศทาง และเนื่องจากความแห้งแล้งเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า สภาพการณ์สะสมตัวของฝุ่นหนาแน่นเช่นนี้จะยังคงเป็นต่อไป จนกว่าจะมีลมที่มีกำลังแรงพัดพากลุ่มของฝุ่นควันออกจากพื้นที่ไปได้
นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ มูลนิธิสืบสานล้านนา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุ เชียงใหม่และพื้นที่ภาคเหนือตอนบนมีระบบนิเวศที่เป็นแอ่งกระทะ มีพื้นที่ราบเพียง10% พื้นที่ดอนเชิงเขา30%และพื้นที่สูง60% จึงมีพื้นที่ป่ามากที่สุดของประเทศ มีป่าผลัดใบจำพวกป่าเต็งรังป่าเบญจพรรณมากด้วย มีข้อมูลว่าปริมาณการผลัดใบนี้1,500กก. ต่อไร่ต่อปี ทิ้งสะสมมากๆก็อันตรายต้องมีการจัดการบริหารเชื้อเพลิง ตลอดทั้งปีจะมีฝุ่นควันจากรถยนต์และโรงงานมาสะสมกองที่ก้นแอ่ง พอช่วงแล้งเดือนมค.-เมย.ฝุ่นควันจากการเผาในพื้นที่เกษตรและพื้นที่ป่าเข้ามาสมทบอีก ประกอบกับการยกตัวของอากาศต่ำ การระบายอากาศทำได้น้อยจึงเหมือนฝาชีครอบฝุ่นควันอยู่ในเชียงใหม่ หลังสงกรานต์อากาศจึงจะยกตัวสูง การระบายอากาศได้ดี อากาศของเชียงใหม่และภาคเหนือก็จะดีขึ้น
จากการทำงานสภาลมหายใจปีนี้จุดไฟไหม้เชียงใหม่เริ่มลดลงกว่าปีที่แล้ว แต่ฝุ่นควันกลับมากขึ้นเพราะมีปัจจัยกระแสลมพัดพาเอาฝุ่นควันจากจังหวัดข้างเคียงและรัฐฉานประเทศเมียนมาร์เข้ามา เราจะแก้ฝุ่นควันเฉพาะจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งไม่ได้เพราะฝุ่นควันไม่มีพรมแดนเลื่อนไหลไปมาได้อีก นอกจากการร่วมมือทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาในแต่ละจังหวัดแล้ว จึงต้องแก้มีการแก้ภาพรวมในระดับประเทศด้วย เพราะวิกฤติฝุ่นควันเกิดขึ้นทั่วประเทศและมีผลกระทบต่อสุขภาพ ต่อเศรษฐกิจ ต่อสิ่งแวดล้อมที่รุนแรงมากขึ้นโดยลำดับ
ปัจจุบันรัฐมองเป็นอุบัติภัยแก้แบบเฉพาะหน้าไม่มีทางสำเร็จครับ รัฐต้องทำแบบเดียวกับเรื่องโควิต ทำจริงจังต่อเนื่องทั้งปี ให้บทบาทอาสาสมัคร ชุมชนและจังหวัด โดยใช้ทุกกลไกของรัฐสนับสนุน ต้องทุ่มเทมีการออกนโยบาย แผนงาน งบประมาณ ความรู้และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ จึงจะเอาอยู่ในประเทศ ขณะเดียวกันก็ร่วมมือกับเพื่อนบ้านไปพร้อมๆกัน ข้อมูลเรื่องฝุ่ควันเริ่มกระจ่างชัด ประชาชนตื่นตัว ถึงเวลาที่รัฐจะต้องจัดการปัญหา ประชาชนเริ่มจะทนไม่ไหวแล้วครับท่าน #ฝุ่นควันเชียงใหม่”
ด้านเพจ WEVO สื่ออาสา โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุ ชาวบ้านแจ้งพบเหตุไฟป่า บริเวณทางไปบ้านห้วยป่าปู ใกล้บ้านท่ามะเกี๋ยง ต.ป่าไหน่ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ เพจ WEVO
ขอบคุณภาพจาก www.iqair.com, เพจ WEVO, เพจ Chatchawan Thongdeelert